เป็นเกมที่ทำเอาแฟนบอลแผ่นดินสยามอกอีแป้นแตก หลังถูกฟิลิปปินส์ตามตีเสมอ 1-1 ในนาทีที่ 57 และเวลาก็เริ่มบีบเล่นเอาหัวใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ชีพจนเต้นแรงกันถ้วนหน้า จนกระทั่งทีมชาติไทย มาได้จุดโทษในนาทีที่ 77 ก่อนที่ “มุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา จะรับหน้าที่อาสาสังหารเข้าไปอย่างเลือดเย็น ช่วยให้ทัพ “ช้างศึก” เฉือนชนะ 2-1 การันตีลิ่วรอบ 4 ทีมสุดท้ายใน “เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2020” ได้สำเร็จตามเป้าหมาย
การเก็บ 9 แต้มเต็มร้อยเปอร์เซนต์ ถือเป็นการประกาศศักดาให้ชาติต่าง ๆ ได้รู้ว่า ขุนพลจากแขว้นลุ่มน้ำเจ้าพระยา ที่เคยคว้าแชมป์ลูกหนังอาเซียนมากที่สุด 5 สมัย กำลังแผ่อำนาจความน่ากลัวและน่าเกรงขามเพื่อต้องการจะบอกว่า ทัวร์นาเมนต์ครั้งนี้ ทีมชาติไทยขออนุญาติ (ต้องการ) ทวงบัลลังก์อาเซียนกลับคืนมาอีกครั้งให้ได้
1. เสียวหน่อยแต่ 3 แต้ม
เรียนตามตรงในฐานะแฟนบอลไทยคนหนึ่ง แข้งช้างศึกดูเหนือกว่าฟิลิปปินส์เอามาก ๆ ตลอดเกม 90 นาที ลูกที่เสียประตูนั้นมากจากข้อผิดพลาดแค่ครั้งเดียวจนกลายเป็นเสียประตู แต่หากมองที่ภาพรวมคู่ต่อสู้แทบไม่มีจังหวะจบสกอร์ที่แบบได้ลุ้นมากมายเท่าไหร่นัก มิหนำซ้ำเราเองที่มีโอกาสยิงได้หลายประตูในเกมนี้
ด้วยคุณภาพของนักเตะไทย ที่เหนือกว่าฟิลิปปินส์มากจริง ๆ จากที่เห็นช่วงครึ่งแรก เราเองเป็นฝ่ายที่โหมบุกเข้าใส่กระหน่ำอย่างหนักหน่วงชนิดที่แนวรับคู่แข่งแทบไม่มีเวลาให้หายใจ แต่พอขึ้นนำและช่วงครี่งหลังเราอาจมีการผ่อนเกมลงบ้างเล็กน้อย แต่เราก็ยังสามารถเอาตัวรอดโดยการยัดเยียดความปราชัย พร้อมส่งฟิลิปปินส์ ร่วงตกรอบไปโดยปริยายทันที
2. ซูฮกคู่หูพยัญชนะ ธ.ธง
คู่ขาตระกูล “ธี” โชว์ให้เห็นเลยว่า ทั้งคู่คือนักเตะไทยที่ดีที่สุดในยุคนี้ จากประสบการณ์ผ่านการค้าแข้งในลีกลูกหนังอันดับหนึ่งของทวีปเอเชียมาทั้ง “อุ้ม” ธีราทร บุญมาทัน แบ็คซ้ายดีกรีชุดแชมป์เจลีก 2019 กับโยโกฮาม่า เอฟ มารินอส และ “มุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา อดีตกองหน้าดีกรีชุดรองแชมป์เจลีก 2018 กับซานเฟรซเซ่ ฮิโรชิม่า
โดยประตูแรกเป็นการประสานงานสุดเพอร์เฟคจริง ๆ เริ่มจาก ธีราทร บุญมาทัน ปาดบอลจากริมเส้นฝั่งซ้ายเข้ากลาง และเป็น ธีรศิลป์ แดงดา ที่เหมือนรู้ไส้รู้พุงว่าจังหวะนี้ควรทำอย่างไรกับลูกบอลที่เปิดเข้ามาดี ก่อนที่จะไม่มีความลังเลอะไรมากมาย วิ่งเข้ามากระทุ้งส่งบอลเข้าประตูไปอย่างสวยสดงดงามจริง ๆ เลยครับท่านผู้ชม
3. “มาโน่” โชว์กิ๋นระดับอ๋อง
ต้องขอชื่นชม “มาโน โพลกิ้ง” กุนซือที่หลายคนกำลังจับตามอง เพราะเจ้าตัวสามารถแก้เกมได้อย่างเฉียบขาด พอเปลี่ยนตัวสำรองทีไรมักเปลี่ยนเกมได้ตลอดตั้งแต่เกมถล่มเมียนมา 4-0 ที่เปลี่ยน วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ และสุภโชค สารชาติ ลงสนามช่วงครึ่งหลังก็ผลิตสกอร์เพิ่มคนละลูกให้ทีมชาติไทยได้ทันทีทันใด
เช่นเดียวกับเกมนี้ ที่เกมกำลังตื้อ ๆ เสมอกันอยู่ 1-1 และจำเป็นต้องส่งตัวรุกบวกกับความสดลงมาบดขยี้คู่แข่งในช่วง 15 นาทีสุดท้าย และมันก็ได้ผลเมื่อตัวสำรองอย่าง ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ ที่ลงสนามมาแปปเดียวก็เรียกจุดโทษให้ทัพ “ช้างศึก” ได้ทันที นี่คือกิ๋นกับประสบการณ์ของ “มาโน่” ที่แสดงให้เห็นแล้วว่า เขาก็เป็นโค้ชดีพอตัวในการแก้เกมไม่น้อยหน้าใคร เมื่อเทียบกับกุนซือระดับอ๋องหลาย ๆ คนของเมืองไทย
4. ดีแล้วที่โดนเปิดซิงลูกแรก
แม้ว่าช้างศึกของเราที่ก่อนหน้านี้เก็บคลีนชีตได้สองเกมรวด ก่อนจะมาถูกฟิลิปปินส์เปิดบริสุทธิ์เสียประตูแรกจนได้ จากความผิดพลาดที่ต้องพูดตรง ๆ ว่า มันคือความผิดพลาดส่วนบุคคล ไม่ใช่ความผิดพลาดของทั้งทีม แต่เชื่อว่าประตูที่เสียไป มันจะเป็นข้อที่ดีเอามาก ๆ ในการให้ทีมงานสต๊าฟฟ์โค้ชได้รู้ซึ้งถึงจุดอ่อนของไทยว่าอยู่ตรงไหนบ้าง
ยังรวมถึงนักเตะที่จะได้เรียนรู้ข้อผิดพลาดของตัวเอง และถือเป็นบทเรียนที่จะนำไปแก้ไขข้อบกพร่องกับช่วงเวลาที่เหลืออยู่ให้ดียิ่งขึ้น เชื่อว่าการเสียประตูครั้งนี้จะทำให้ทีมชาติไทย มีประสิทธิภาพเรื่องของการตั้งรับมากขึ้นกว่าเดิมแน่นอน ไม่ถึงขั้นต้องวิตกอะไรมากกับการเสียประตูหนึ่งลูกจากเกมนี้
5. ได้เห็น 2 เพชรเม็ดงาม
จบทัวร์นาเมนต์นี้ทัพ “ช้างศึก” คงต้องรีบส่ง 2 นักเตะอย่าง ธนวัฒน์ ซึ้งจิตถาวร และกฤษดา กาแมน ไปอำเภอโดยด่วนเลยทีเดียว หลังโชว์ผลงานได้สุดสะเด่าเหลือเกิน โดยในรายของ ธนวัฒน์ ซึ้งจิตถาวร ที่งัดฟอร์มได้เปรี้ยงปร้างเอามาก ๆ เล่นกับรุ่นพี่ได้อย่างกลมกล่อม แถมพยายามสร้างสรรค์โอกาสยิงไกลในทุก ๆ เกมที่ลงสนาม และเกือบจะเป็นประตูหลายครั้งด้วย สมราคามิดฟิลด์จากสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ยู-23 ปีจริง ๆ
เช่นเดียวกับปราการหลังจากรั้วฉลามชลอย่าง กฤษดา กาแมน ที่แม้จะไม่ใช่กองหลังพันธุ์แท้ แต่การถูกจับมายืนเซ็นเตอร์ฮาล์ฟคู่กับ มานูเอล ทอม เบียรห์ กับทำผลงานได้ดีเกินขาด แม้รูปร่างจะไม่สูงใหญ่ แต่การเล่นที่ดูนิ่งเหลือเกิน และดูเป็นผู้ใหญ่มาก ๆ มีลูกบู๊กับ สเตฟาน ชร็อค กัปตันทีมฟิลิปปินส์ แบบไม่เกรงกลัว ซึ่งจังหวะนั้นเด็กหนุ่ม 22 ปี ไม่ยอมอ่อนข้อคนสูงวัย 35 ปี มันช่างเป็นฉากที่สุดแสนจะบรรยายเหลือเกิน ได้แต่ยกนิ้วและปรบมือกับฟอร์มการเล่นของ 2 นักเตะไทยในเกมนี้
เสาร์ที่ 18 ธ.ค.นี้ คงจะได้รู้แล้วว่า ทัพ “ช้างศึก” จะจบกลุ่ม เอ ในฐานะแชมป์กลุ่ม หรือรองแชมป์กลุ่มกันแน่ แฟนบอลอย่าลืมร่วมส่งกำลังใจเชียร์ในเกมดวลกับ เจ้าภาพสิงคโปร์ เวลาไทย 19.30 น. ทางช่อง 7 HD กันด้วยนะครับพี่น้อง !
“ กอล์ฟ เบนเทเก้ “