ในที่สุดก็จบลงอย่างเป็นทางการแล้วกับเรื่องที่ โรเมลู ลูกากู กองหน้าชาวเบลเยียมย้ายจาก อินเตอร์ มิลาน กลับมาอยู่กับ เชลซี หลังจากที่เขาทำการเปิดตัวกับทีมเป็นที่เรียบร้อย โดยเป็นที่เชื่อกันว่าค่าตัวในการย้ายทีมของ ลูกากู สูงในระดับถึง 97.5 ล้านปอนด์เลยทีเดียว
ถ้าจะบอกว่านี่เป็นโอกาสที่ ลูกากู จะได้แก้ตัวมันก็ไม่ผิดอะไรเลย เพราะภาคแรกของเขากับ เชลซี จบลงแบบน่าผิดหวังในสภาพที่เขาทำประตูให้กับทีมไม่ได้แม้แต่ลูกเดียวจากการลงเล่น 15 นัดในทุกรายการ จนสุดท้ายก็โดนขายขาดให้กับ เอฟเวอร์ตัน ในปี 2014 หลังจากเคยแวะไปเล่นที่นั่นแบบยืมตัวมาก่อนแล้ว
ทั้งนี้ ลูกากู ไม่ใช่นักเตะคนแรกของ เชลซี ที่เคยย้ายไปอยู่กับที่อื่นแล้วได้กลับมาอยู่กับทีมในยุคที่ลีกสูงสุดของประเทศอังกฤษใช้ชื่อว่า พรีเมียร์ลีก ซึ่งวันนี้เราจะมาย้อนดูกันว่าคนก่อนๆ มีใครบ้าง และผลงานภาคแรกกับภาคสองของพวกเขาในการเล่นที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ต่างกันเพียงใด
ดาวเตะชาวบราซิเลียนย้ายจาก เบนฟิก้า มาอยู่กับ เชลซี ในช่วงเดือนมกราคม ปี 2011 ด้วยค่าตัว 25 ล้านยูโร ซึ่งเขาก็ทำผลงานได้โดดเด่นพอตัวจนช่วยให้ทีมได้ทั้งแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, เอฟเอ คัพ และ ยูฟ่า ยูโรปา ลีก ในการเล่นให้กับทีมเป็นสมัยแรก แถมเขายังเป็นขวัญใจของแฟนบอลหลายคน รวมถึงเป็นที่รักของเพื่อนร่วมทีมหลายรายด้วย
อย่างไรก็ตาม ในช่วงซัมเมอร์ ปี 2014 โชเซ่ มูรินโญ่ ตัดสินใจขายเขาให้กับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง โดยว่ากันว่าเป็นเพราะ มูรินโญ่ ไม่ประทับใจที่ ลุยซ์ มักจะยืนตำแหน่งได้ไม่ดีเท่าที่ควรในการเล่นเกมรับ อย่างไรก็ตาม 2 ปีหลังจากนั้น ลุยซ์ ก็ได้กลับมาอยู่กับ เชลซี ซึ่งเขาก็ยังประสบความสำเร็จกับทีมเพิ่มได้อีก ไม่ว่าจะเป็นแชมป์ พรีเมียร์ลีก 1 สมัย, แชมป์ เอฟเอ คัพ 1 ครั้ง และแชมป์ ยูโรปา ลีก 1 หน ก่อนที่ในเวลาต่อมาเขาจะย้ายไปอยู่กับ อาร์เซน่อล
เชลซี จ่ายเงินราว 1.5 ล้านปอนด์เพื่อดึง มาติช มาจาก โคซิเช่ ทีมในสโลวาเกีย หลังจากที่ตอนนั้น มาติช เป็นนักเตะวัยหนุ่มที่มีฝีเท้าน่าประทับใจ แต่ภาคแรกของเขากับ เชลซี ก็จบลงด้วยการที่เขาได้เล่นให้ทีมชุดใหญ่ของ เชลซี แค่ 3 นัดในทุกรายการเท่านั้น
มาติช โดนปล่อยไปอยู่กับ เบนฟิก้า ในเดือนมกราคม ปี 2011 ในฐานะส่วนหนึ่งของดีลที่ เชลซี จะเอา ลุยซ์ มาร่วมทัพ ซึ่งแข้งเลือดเซิร์บก็แสดงให้ เชลซี เห็นว่าคิดผิดที่ปล่อยเขาด้วยการทำผลงานได้โดดเด่นกับที่นั่นจนสุดท้ายในเดือนมกราคม ปี 2014 เชลซี ก็ต้องควักเงิน 21 ล้านปอนด์เพื่อเอาเขากลับมาอยุ่กับทีม
ในภาค 2 ของเขากับทีมนั้น มาติช ช่วยให้ เชลซี ได้แชมป์ พรีเมียร์ลีก 2 สมัย พร้อมกับทำให้ช่วงนั้นเขาได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในมิดฟิลด์ตัวกลางที่ดีที่สุดของ พรีเมียร์ลีก ด้วย แต่สุดท้ายเขาก็โดนปล่อยให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 2017 และยังอยู่กับทีมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
หากถามว่านักเตะคนไหนที่แฟนบอล เชลซี ยกให้เป็นตำนานแล้วล่ะก็ เชื่อได้ว่าชื่อของ ดร็อกบา จะอยู่ในกลุ่มคนแรกๆ ที่พวกเขานึกถึง หลังจากที่ ดร็อกบา ทำประตูให้กับทีมได้อย่างเป็นกอบเป็นกำนับตั้งแต่ที่ย้ายมาจาก โอลิมปิก มาร์กเซย ในปี 2004 พร้อมกับทำให้ทีมได้แชมป์หลายรายการ อย่างเช่นแชมป์ลีก 3 สมัย, แชมป์ เอฟเอ คัพ 4 ครั้ง, แชมป์ ลีก คัพ 2 หน และแชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก 1 สมัย
ด้วยเหตุนี้ หลายคนเลยแปลกใจที่ เขลซี ไม่ต่อสัญญากับเขาจนทำให้เจ้าตัวต้องแยกทางกับทีมในปี 2012 โดยทีมที่รับเขาไปใช้งานต่อคือ เซี่ยงไฮ้ เสิ่นหัว ถึงกระนั้น ในปี 2014 ดร็อกบา ก็กลับมาอยู่กับทีมแบบไร้ค่าตัว โดยถึงแม้ภาค 2 ของเขากับทีมจะมีระยะเวลาแค่ปีเดียว แต่เขาก็ยังได้แชมป์ลีกและแชมป์ ลีก คัพ ร่วมกับทีมอีกอย่างละ 1 หน
เลอ โซซ์ เป็นผลผลิตจากอะคาเดมี่ของ เชลซี เขาขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ได้ในปี 1989 หรือก็คือตั้งแต่ก่อนที่ลีกสูงสุดจะใช้ชื่อ พรีเมียร์ลีก และได้อยู่กับทีมจนถึงปี 1993 ก่อนที่จะโดนขายให้ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ด้วยราคา 700,000 ปอนด์ โดยตอนนั้นความสำเร็จเดียวที่เขาทำได้กับ เชลซี คือการเป็นแชมป์ ดิวิชั่น 2 ในฤดูกาล 1988-89
อย่างไรก็ตาม ในปี 1997 เลอ โซซ์ ได้กลับมาเล่นให้ เชลซี อีกครั้ง และมันก็ทำให้เขาได้แชมป์กับทีมหลายรายการด้วย อย่างเช่นแชมป์ ลีก คัพ 1 สมัย, ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ 1 หน และ ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 1 รอบ ก่อนที่เขาจะต้องบอกลา เชลซี เป็นรอบที่ 2 ในฐานะส่วนหนึ่งของดีลที่ เชลซี ดึง เวย์น บริดจ์ ฟูลแบ็ก เซาธ์แฮมป์ตัน มาอยู่กับทีม